Social jet lag

Professor Till Roenneberg เป็นผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับนาฬิกาชีวิตของมนุษย์ ได้กล่าวว่า มนุษย์เรามีนาฬิกาอยู่สองอย่างคือ นาฬิกาชีวิตที่ควบคุมตามกลไกของร่างมนุษย์ที่สมองเป็นผู้สั่งการ (body clock) ทำให้เรานอนหลับและตื่นนอนตามการได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ และ นาฬิกาที่บอกเวลาตามเข็มนาฬิกาที่มนุษย์สร้างขึ้น (social clock) ซึ่งนาฬิกาชนิดนี้ทำให้คนเราปฏิบัติหน้าที่ตามเวลาหน้าที่และความรับผิดชอบต่อสังคม และบ่อยครั้งมันก็ฝืนธรรมชาติของ body clock ทำให้เราเกิดภาวะ “Social jet lag” หากแสงจากดวงอาทิตย์เป็นปัจจัยที่กำหนด body clock แต่ในปัจจุบันนี้เราใช้ชีวิตอยู่ในร่มมากกว่ากลางแจ้ง เราทำงานอยู่ในสำนักงานที่มีแสงสว่างจากหลอดไฟ และในตอนกลางคืนเราสามารถนั่งทำงานอยู่จนดึกเพราะได้รับแสงสว่างากหลอดไฟเช่นเดียวกัน เราสามารถอยู่ได้ดึกขึ้น เพราะปริมาณแสงที่รับตอนกลางวันกับตอนกลางคืนแทบจะไม่มีความแตกต่างกัน

 

 

พอเราเริ่มมีอาการของ social jet lag เพราะเราใช้ชีวิตฝืนจากธรรมชาติร่างกาย มนุษย์เราก็มีตัวช่วยขึ้นมา เช่น คาเฟอีน, บุหรี่, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์  นอกจากนี้ ฮอร์โมนในร่างกายก็ไม่สมดุล ทำให้มีอารมณ์แปรปรวนได้ง่าย และยังอ้วนง่ายอีกด้วย

 

 

วิถีชีวิตในปัจจุบันทำให้หลายคนเปลี่ยนตัวเองเป็นนกฮูก เรานอนดึกกันมากขึ้นและตื่นสาย (จริงทีเดียว U.U) ทำให้นาฬิกาของร่างกายเราปรับตัวเพื่อให้ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ body clock จะบอกเราว่า ถ้านอนดึกก็จะต้องตื่นสายนะจะได้พักผ่อนเพียงพอ  ในขณะที่นาฬิกาทางสังคม Social clock นั้นต้องการให้เราตื่นก่อน 6 โมงเช้า ซึ่งนั่นเท่ากับว่าหากเรานอนดึกและตื่นในเวลาเช้าตรู่เพื่อไปทำงานเรานอนหลับไปแค่ครึ่งนึงของเวลาที่นาฬิกาทางชีวภาพต้องการ  เราจะมีอาการคล้ายๆกับคนที่เดินทางไปยังโซนเวลาที่แตกต่างกัน หรือเรียกว่า Jet lag นี่เอง..คือ ง่วงในเวลาที่ควรจะตื่น และตื่นในเวลาที่ควรจะนอน เวลาที่ควรจะกินอาหารร่างกายกลับบอกว่าไม่หิว เป็นต้น..

 

มีการศึกษามากมายบอกว่าในวัยผู้ใหญ่ควรนอนหลับพักผ่อน 7-8 ชั่วโมง แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจขึ้นอยู่กับธรรมชาติของแต่บุคคล แต่ที่แน่ๆการนอนหลับอย่างเพียงพอนั้นทำให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยความเห็นส่วนตัวหากจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราควรปรับ body clock ของเราให้สอดคล้องกับ social clock แต่ขณะนี้บางประเทศอย่างเช่นเดนมาร์กบางโรงเรียนได้มีการทดลองปรับเวลาให้นักเรียนสามารถเลือกเวลาเข้าเรียนได้เองให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตของนักเรียน เนื่องจากเขาพบว่านักเรียนส่วนใหญ่นอนดึกพอตื่นมาเรียนในคาบเช้าก็ง่วงนอนและไม่ตั้งใจเรียน จึงเลือกที่จะปรับ social clock ให้เข้ากับ body clock แทน..แบบไหนจะดีกว่ากัน?

By lovelybluemoon เขียนใน ไม่มีหมวดหมู่

รู้จักโรคมือเท้าปาก (Hand, Foot and mouth disease)

โรคมือเท้าปาก Hand, Foot and mouth disease (HFMD) คืออะไร?

โรคมือเท้าปากเป็นโรคติดเชื้อที่พบได้ทั่วไปในเด็กและทารก โดยอาการแสดงของผู้ติดเชื้อ จะมีไข้ ปวดแสบในช่องปาก มีตุ่มพองใสที่มือ เท้า ปาก และอาจมีตุ่มพองที่บริเวณสะโพก ซึ่งพบความชุกของโรคมากในประเทศแถบเอเชีย

โรคนี้เป็นโรคเดียวกับโรค ปากและเท้าในสัตว์หรือไม่? 

ไม่ใช่ เพราะเกิดจากการติดเชื้อไวรัสคนละชนิดกับโรคปากและเท้าที่พบในสัตว์จำพวก วัว ควาย หมู แกะ

โรคมือเท้าปาก เกิดที่ไหนบ้าง? 

พบผู้ป่วยโรคมือเท้าปากได้ทั่วโลก แต่พบมากในประเทศเขตร้อน โดยมีการระบาดเกิดขึ้นทุกรอบปี แต่ในช่วงปีที่ผ่านมาพบมากในทวีปเอเชีย และพบจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลี มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย ไต้หวันและเวียดนาม

อะไรเป็นสาเหตุของโรคนี้ ? 

เชื้อไวรัสในกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (enterovirus) เป็นเชื้อสาเหตุหลัก ซึ่งเชื่อโรคในกลุ่มนี้สามารถจำแนกย่อยไปได้อีกหลายชนิดรวมไปถึง polioviruses (เชื้อโปลิโอ), coxsackieviruses(ค็อกแซคกี้ไวรัส), echoviruses (เอคโคไวรัส) และ enteroviruses ชนิดอื่นๆ โดยปกติ โรคมือเท้าปากสายพันธ์ก่อโรคที่เราพบกันได้ทั่วไปนั้นเกิดจากการติดเชื้อ coxsackievirus สายพันธ์ A16 ซึ่งทำให้เกิดอาการแสดงของโรคในระดับปานกลาง แต่หากมีการติดเชื้อโรคมือเท้าปากจากเชื้อ enterovirus สายพันธ์ 71 (EV71)  จะก่อให้เกิดอาการของโรคที่รุนแรงมากจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

โรคมือเท้าปากมีความน่าวิตกกังวลแค่ไหน?

  • ผู้ติดเชื้อโรคมือเท้าปากในสายพันธ์ coxsackievirusesสามารถหายได้ภายหลังได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที โรคมือเท้าปากโดยปกติเป็นโรคติดเชื้อที่ไม่รุนแรง ผู้ป่วยสามารถหายได้ด้วยตัวเองภายใน 7-10 วัน กรณีที่ไม่มีอาการข้างเคียงอื่นๆ

  • ผู้ป่วยจะมีอาการขาดน้ำหากติดเชื้อcoxsackieviruses เป็นสาเหตุให้มีอาการเจ็บคอและปวดแสบในช่องปาก
  • ผู้ป่วยน้อยรายที่จะมีอาการ Aseptic หรือ อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ คือ เป็นไข้ ปวดคอ ปวดหลัง ซึ่งจะต้องทำการรักษาตัวในโรงพยาบาล
  • สำหรับผู้ติดเชื้อมือเท้าปากจาก enteroviruses71 (EV71) นั้นจะมีอาการรุนแรงทำให้เกิด เยื่อหุ้มสมองอักเสบ สมองอักเสบและอาจเกิดอาการข้างเคียงที่รุนแรง ทางระบบประสาท ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบทางเดินหายใจ และอาจเสียชีวิต

ระยะเวลานานแค่ไหนหลังจากได้รับเชื้อแล้วแสดงอาการ? 

โดยปกติหลังได้รับเชื้อแล้วจะมีอาการภายใน 3-7 วัน มีไข้ต่อเนื่องเป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง

อาการของโรคเป็นอย่างไร? 

เริ่มต้นจากมีไข้ เบื่ออาหาร คลื่นเหียน วิงเวียน เจ็บคอ

  • 1-2 วันหลังจากมีไข้จะมีอาการปวดเจ็บที่ช่องปาก มีจุดแดงและตุ่มพองใสเกิดขึ้น และกลายเป็นแผล พบตาม ลิ้น เหงือก และกระพุ้งแก้ม
  • มีผื่น (ไม่คัน) เกิดขึ้นช่วง 1-2 วัน ลักษณะแบน หรือเป็นจุดแดง อาจเป็นตุ่มพองใส พบตามอุ้งมือ อุ้งเท้า และอาจพบบริเวณสะโพกหรือที่อวัยวะเพศ
  • ผู้ติดเชื้ออาจจะไม่มีอาการแสดง หรืออาจพบเพียงผื่นหรือแผลพองที่ปากเท่านั้น
  • ผู้ป่วยน้อยรายอาจพบอาการข้างเคียงทางระบบประสาทและระบบทางเดินหายใจ

ติดโรคมือเท้าปากได้อย่างไร? 

โรคมือเท้าปากเป็นโรคติดเชื้อที่สามารถแพร่เชื้อจากคนนึงไปยังอีกคนนึงได้โดยตรงผ่านการสัมผัสเยื่อเมือกจากจมูกและคอ น้ำมูก น้ำลาย และน้ำจากตุ่มพองใส หรือจากอุจจาระของผู้ติดเชื้อ ผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อได้ดีในช่วงสัปดาห์แรกของการเจ็บป่วย และช่วงเวลาของการแพร่เชื้ออาจยาวนานเป็นสัปดาห์ (เนื่องจากเชื้ออยู่ในอุจจาระของผู้ป่วย) และโรคมือเท้าปากนี้ไม่สามารถแพร่ระบาดไปสู่สัตว์เลี้ยง หรือสัตว์ชนิดอื่นๆ

ใครเป็นกลุ่มเสี่ยงของโรคมือเท้าปาก?

ทุกคนมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะป่วย โรคมือเท้าปากส่วนมากจะพบในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี จะพบมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปี ยิ่งผู้ติดเชื้อมีอายุน้อยอาการแสดงของโรคก็จะยิ่งรุนแรง เด็กมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อไว้รัสชนิดนี้ได้ง่ายเพราะร่างกายยังไม่มีการสร้างภูมิคุ้มกัน เพราะไม่เคยได้รับเชื้อนี้มาก่อน แต่ก็อาจจะพบผู้ป่วยวัยรุ่นและผู้ใหญได้

คุณสามารถติดเชื้อโรคมือเท้าปากมากว่าหนึ่งครั้งหรือไม่? 

ใช่ ในการติดเชื้อแต่ละครั้งร่างกายจะมีการสร้างภูมิคุ้มกันที่เฉพาะเจาะจงกับเชื้อไวรัสชนิดนั้นๆ ซึ่งในการติดเชื้อแต่ละครั้งอาจจะได้รับเชื้อที่ต่างชนิดกัน

แล้วผู้หญิงตั้งครรภ์มีความเสี่ยงหรือไม่? 

สิ่งที่ควรปฏิบัติสำหรับหญิงตั้งครรภ์คือหลีกเลียงการสัมผัสหรือติดต่อกับผู้ติดเชื้อโรคมือเท้าปาก และควรระมัดระวังการติดเชื้อ enterovirus และโรคมือเท้าปาก พบได้ทั่วไปและหญิงตั้งครรภ์ก็มีโอกาสที่จะได้รับเชื้อนี้ได้ ซึ่งหากหญิงตั้งครรภ์ได้รับเชื้ออาจจะมีอาการแสดงเพียงเล็กน้อย หรือไม่มีอาการเลย อย่างไรก็ตามยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างการติดเชื้อ enterovirus ขณะตั้งครรภ์ กับ ผลกระทบขณะคลอดบุตร เช่น แท้ง, ตายคลอด หรือพิการแต่กำเนิด แต่หากหญิงตั้งครรภ์ได้รับเชื้อก็อาจส่งต่อเชื้อถึงบุตรได้

เด็กทารกแรกเกิดที่ติดเชื้อ enterovirus ส่วนใหญ่จะมีอาการป่วยไม่รุนแรง แต่บางรายหากมีการติดเชื้อในอวัยวะสำคัญเช่นตับและหัวใจก็อาจตายจากการติดเชื้อ ส่วนเด็กแรกเกิดที่มีอาการป่่วยรุนแรงจะแสดงอาการในช่วงสองสัปดาห์แรกหลังคลอด

โรคมือเท้าปากรักษาได้อย่างไร? 

ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาเฉพาะเจาะจงต่อโรคมือเท้าปาก ผู้ป่วยควรดื่มน้ำมากๆ พบแพทย์ และรักษาตามอาการ เช่นลดไข้, รักษาแผลจากตุ่มพอง เป็นต้น

สามารถป้องกันโรคมือเท้าปากได้หรือไม่? 

ยังไม่มียาต้านไวรัสหรือวัคซีนที่ป้องกันการติดเชื้อ non-polio enterovirus ที่เป็นสาเหตุของโรคมือเท้าปากได้ แต่สามารถป้องกันการติดเชื้อด้วยการมีสุขอนามัยที่ดี และการไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาอย่างทันท่วงทีเมื่อเด็กเริ่มมีอาการป่วย

วิธีการป้องกันสามารถทำได้ดังต่อไปนี้ 

  • ล้างมือบ่อยๆด้วยสบู่และน้ำสะอาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการสัมผัสผู้ป่วย ตุ่มพองใส หรือแผลพอง ควรล้างมือก่อนการเตรียมปรุงอาหารและก่อนรับประทานอาหาร ล้างมือก่อนที่จะป้อนอาหารให้กับเด็กทารก ล้างมือหลังเข้าห้องน้ำและหลังเปลี่ยนผ้าอ้อม
  • ทำความสะอาดพื้นผิวที่มีการปนเปื้อนของเชื้อโรค และคราบดิน รวมไปถึงของเล่นเด็ก ด้วยสบู่และน้ำ จากนั้นนำไปฆ่าเชื้อด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่มีส่วนประกอบของคลอรีน
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรง กอด จูบ ใช้เครื่องมือเครื่องใช้ร่วมกัน กับเด็กที่มีการติดเชื้อโรคมือเท้าปาก เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
  • ให้ทารก และ เด็กที่ป่วย หยุดเรียน อย่าไปโรงเรียน โรงเรียนอนุบาล สถานเลี้ยงเด็ก หรือที่ที่มีคนเยอะๆ จนกว่าจะหายจากอาการป่วยดีแล้ว
  • เฝ้าสังเกตการณ์การป่วยในเด็กอย่างใกล้ชิด หากพบเด็กมีไข้สูงต่อเนื่องให้รีบพาไปพบแพทย์
  • ปิดปาก ปิดจมูก เมื่อไอหรือจาม
  • ทิ้งกระดาษทิชชู่ ผ้าอ้อมใช้แล้ว ในถังขยะ และปิดฝาถังให้เรียบร้อย
  • รักษาความสะอาดภายในบ้าน โรงเรียน อนุบาล และสถานเลี้ยงเด็ก

ที่มา : http://www.wpro.who.int/emerging_diseases/hfmd.information.sheet/en/index.html

Emerging Disease Surveillance and Response
Division of Health Security and Emergencies
Western Pacific Regional Office – WHO
10 July 2012

By lovelybluemoon เขียนใน Health

มาตรการควบคุมปริมาณสารปนเปื้อนในอาหาร

องค์การอนามัยโลกและองค์การสหประชาชาติประกาศมาตรการควบคุมปริมาณสารปนเปื้อนในอาหาร อาทิเช่น

1)Melamine (เมลามิน)

ที่มีอยู่ในสูตรนมผงสำหรับเลี้ยงเด็กทารก ให้มีค่าสูงสุดไม่เกิน0.15 mg/kgสำหรับนมชง(ที่เป็นของเหลว) และไม่เกิน1 mg/kg สำหรับนมผง ,ไม่เกิน2.5 mg/kg ในอาหารอื่นๆและอาหารสำหรับเลี้ยงสัตว์ ทั้งนี้สาร Melamineถูกใช้เป็นส่วนประกอบในอุตสาหกรรมจานชามและเครื่องครัว รวมถึงมีการใช้อย่างผิดกฏหมายในอตุสาหกรรมนมเพื่อให้ดูเหมือนมีการเพิ่มปริมาณโปรตีนในมผงสำหรับเด็ก และอาจมีการปนเปื้อนจากขั้นตอนการผลิตทางอุตสาหกรรมที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

2)Aflatoxins (อัลฟ่าท๊อกซิน)

ในผลิตภัณฑ์อาหารอบแห้ง จำพวกถั่ว ผลไม้อบแห้ง เครื่องเทศ และธัญพืช กำหนดปริมาณสูงสุดไม่เกิน 10 mg/kg

3)แตงโมที่ผ่าซีกขาย

พบว่าเป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรียจำพวก salmonella และ listeria ที่ก่อให้เกิดอุจจาระร่วง จึงกำหนดให้แตงโมที่ผ่าซีกขายนั้นจะต้องแช่เย็นที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส มีพลาสติกห่อหุ้มให้รีบร้อย และมีดที่ตัดจะต้องผ่านการฆ่าเชื้อ

4)อาหารทะเลจำพวกหอย

โดยเฉพาะหอยแมลงภู่และหอยนางรม ซึ่งเป็นแหล่งที่อาจก่อให้เกิดโรคติดเชื้อไวรัสจากอาหาร เนื่องจากไวรัสมีความทนทานมากกว่าแบคทีเรีย และเชื้อสามารถเติบโตอยู่ในอาหารทะเลจำพวกหอย อีกทั้งยังทนสิ่งแวดล้อมได้นานเป็นเดือน แม้จะแช่แข็งทำการฉายรังสียูวี หรือฆ่าเชื้อ แต่เชื้อจะตายในความร้อนและฉลากข้อมูลสำหรับการบริโภค ไวรัสที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคที่สำคัญได้แก่ ไวรัสตับอักเสบชนิด A และ Naro virus ที่อาจปนเปืิ้อนมากับน้ำที่ใช้เพาะเลี้ยง จึงกำหนดให้มีการตรวจสอบคุณภาพของน้ำทะเลที่ใช้เพาะเลี้ยงหอย ตลอดจนแนะนำให้ผ่านกระบวนการความร้อนก่อนจะนำมารับประทาน

5)การติดฉลากอาหาร:

มีการแนะนำให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารมีการติดฉลากผลิตภัณฑ์ ว่าเป็นข้อแนะนำจาก องค์การอนามัยโลก เพื่อส่งเสริมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพทั่วโลก

ที่มา http://www.who.int/mediacentre/news/releases/2012/codex_20120704/en/index.html

ภาพประกอบ google

By lovelybluemoon เขียนใน Health

สื่อประชาสัมพันธ์ สร้างความเข้าใจ กรณีกัมมันตภาพรังสี และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ประเทศญี่ปุ่น

สื่อประชาสัมพันธ์ สร้างความเข้าใจ กรณีกัมมันตภาพรังสี และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ประเทศญี่ปุ่น

จัดทำโดย “Health Challenge ประเทศไทย” ผู้สนใจประเด็นสุขภาพที่กำลังศึกษาต่อในสหราชอาณาจักร

ร่วมสนับสนุน “Health Challenge ประเทศไทย” โดยการกด like ที่แฟนเพจhttp://www.facebook.com/pages/Health-Challenge-ประเทศไทย/182381025127480
Tags: รังสี, สารกัมมันตภาพรังสี, ไอโอดีน

By lovelybluemoon เขียนใน Health

Telecare

จากบทความที่เขียนเรื่องก่อนหน้านี้เกี่ยวกับ Telehealth

ตอนนี้เรามาลงรายละเอียดของ Telecare กัน

Steve hard ให้นิยามกว้างๆของ Telecare ว่า

“Telecare is the continuous, automatic and remote

monitoring of real-time emergencies and life style

change over time in order to manage the risk

associated with independent living”

Telecare เป็นการนำเทคโนโลยีการสื่อสารมาช่วยในการดูแล

สุขภาพผู้ป่วย ลดความเสี่ยงของผู้ป่วยที่อยู่บ้านคนเดียวไม่มี

คนดูแล ยกตัวอย่างเช่น sensor ติดกับตัวผู้ป่วย stroke ที่จะส่ง

สัญญาณเตือนไปยังหน่วยบริการแพทย์ฉุกเฉินหากผู้ป่วยมีอาการ

stroke หรือล้มเนื่องจาก stroke เพื่อให้แพทย์มาดูแลได้ทันท่วงที

วัตถุประสงค์ของ telecare ไม่ได้ส่งการที่จะลด human contact

แต่ต้องการลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุ

ที่ต้องอยู่คนเดียวไม่มีผู้ดูแล และทำให้ผู้ป่วยรู้สึกมีความเป็นส่วนตัว

มากขึ้นแต่ก็รู้สึกปลอดภัยในเวลาเดียวกัน ว่าอยู่ในความดูแลของ

แพทย์

ตัวอย่างของ telecare ที่ช่วยในการดูแลผู้สูงอายุได้แก่

  • เครื่องตอบรับที่ประตูบ้าน (answering the door)
  • เครื่องช่วยจำทิศทาง (remembering direction)
  • การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆ (assessing information)
  • เครื่องช่วยการได้ยิน (aiding hearing problems)
  • เครื่องช่วยเตือนให้กินยา (remembering to take medication)
  • เครื่องควบคุมสิ่งแวดล้อมในบ้าน (control home environment)

ตัวอย่างเครื่องที่ช่วยในการตรวจจับและส่งสัญญาณเตือน

สำหรับบ้านที่มีผู้สูงอายุอยู่เพียงลำพัง

  • เครื่องปิดเตาแกสอัตโนมัติ (gas shut-off device)
  • เซนเซอร์ที่ติดกับเตียงนอน (bed/ chair occupancy sensor) เวลาผู้สูงอายุมีการเคลื่อนไหวออกจากเตียง หรือ ล้มอุปกรณ์ก็จะส่งสัญญาณแจ้งให้ทางศูนย์บริการสุขภาพทราบ, หรืออาจเป็นเซนเซอร์ที่เปิดไฟอัตโนมัติเมื่อผู้สูงอายุลุกจากเตียงเพื่อเข้าห้องน้ำตอนกลางดึก
  • เซนเซอร์ป้องกันการหกล้ม (fall sensor)
  • เซนเซอร์ที่ประตู หน้าต่าง (window-door sensor)
  • Carbon-monoxide sensors ที่ส่งเสียงร้องเตือนเวลาผู้สูงอายุลืมปิดแกส
  • เซนเซอร์เตือนผู้บุกรุก (intruder sensor)
  • ปุ่มกดส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ (panic button)
  • สัญญาณเตือนน้ำท่วม เตือนเวลาเวลาลืมปิดน้ำ (flood/water alarm)
  • เซนเซอร์เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว (movement/non-movement sensor)

เยอะมากๆ แค่คิดเล่นๆว่าอีกหน่อยหากเราต้องเป็นผู้สูงอายุที่อยู่

เพียงลำพังในบ้าน..อุปกรณ์พวกนี้คงจะช่วยได้มาก ทำให้รู้สึกอุ่นใจ

เหมือนไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว 555+ เพราะจะกระดิกตัวไปไหน

จะทำอะไร ก็มีเซนเซอร์ไปซะหมดทั่วบ้านกันเลยทีเดียว

ลองมองในแง่ดีของเทคโนยี Telecare ก็มีประโยชน์มากในมุมมอง

ของผู้สูงอายุ ก็จะมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น, รู้สึกมั่นใจและปลอดภัย

ช่วยรักษาสมดุลระหว่างผู้ดูแลและครอบครัว เพราะผู้สูงอายุจะสามารถ

อยู่ด้วยตัวเองที่บ้านได้, อยู่บ้านได้นานขึ้น และเมื่อมีเหตุฉุกเฉินก็มี

การตอบสนองจากศูนย์บริการได้ทันท่วงที

หากจะมองในมุมของผู้ให้บริการ Telecare ก็มีประโยชน์ในการที่จะ

ใช้ดูแลผู้ที่อยู่ห่างไกลออกไป และลดอัตราการครองเตียงใน

โรงพยาบาลได้เพราะว่าสามารถ discharge ผู้ป่วยให้กลับไปดูแล

ต่อที่บ้านได้เร็วขึ้น, ลดค่าใช้จ่ายและเวลาของเจ้าหน้าที่ที่จะต้องไป

ติดตาม (follow-up) ที่บ้าน

 

ลองดูตัวอย่างของ Telecare จากคลิปนี้ดู

By lovelybluemoon เขียนใน Health

Telehealth:ระบบดูแลสุขภาพที่อยู่ไกลเหมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อม

เมื่อวันก่อนไปเข้าฟังเกี่ยวกับเรื่อง Telehealth & rehabilitation for the long-term care

of people with chronic condition ได้ความรู้ใหม่ๆมาเพียบเลย เนื่องจากว่าสังคมอังกฤษในสมัยนี้

กำลังจะก้าวสู่ Aging population เหมือนที่ญี่ปุ่น และภายในไม่เกิน20 ข้างหน้า

ประเทศไทยบ้านเราก็กำลังจะตามมาติด..สังคมที่จะมีผู้สูงอายุเยอะกว่าวัยแรงงาน

เนื่องจากกว่าเรามีระบบการแพทย์ที่ดีขึ้น คนมีอายุยืนยาวขึ้น อัตราการเกิดน้อยลง

แต่การที่คนเรามีอายุยืนขึ้นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะมีสุขภาพที่ดีเสมอไป

ลองหลับตาแล้วนึกภาพตัวเองตอนอายุ 60-70 ปี ถ้าเราแข็งแรงดี มันก็โอเคอยู่หรอกนะ

แต่ถ้าเราเกิดป่วย ด้วยโรคหัวใจความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือว่าโรคเรื้อรังต่างๆหล่ะ..

เราจะใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างไร? บางคนอาจจะโชคดีที่มีลูกหลานดูแล

แต่ก็มีแนวโน้มว่าอีกหน่อยจะมีผู้สูงอายุที่โดดเดี่ยว ไม่มีคนดูแลอยู่อีกไม่ใช่น้อยๆ

ถึงแม้ผู้สูงอายุบางคนจะมีครอบครัวหรือลูกหลาน..ก็ไม่ได้หมายความว่าจะโชคดีมีลูกหลานดูแลกันทุกคน..

มีผู้สูงอายุอีกหลายๆคนที่ต้องอยู่เพียงลำพัง..

ยกตัวอย่างสถานการณ์ในประเทศอังกฤษตอนนี้ ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมามีผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 85 ปี

จำนวนเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าและคาดประมาณว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต

ประมาณ 69% ของการจัดสรรงบประมาณในระบบสุขภาพในอนาคตจะต้องลงไปที่เรื่องของการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง

ซึ่งแนวคิดเกี่ยวกับ Telehealth และ Telecare จึงเข้ามามีบทบาทเพื่อให้ผู้ที่ต้องการผู้ดูแลเข้าถึงระบบบริการสุขภาพ

ภายใต้ Concept ที่เรียกว่า QIPP

Q= Quality หมายถึง คุณภาพในแง่ความปลอดภัยของผู้ป่วย, ประสิทธิภาพการรักษา

I = Innovation คือการใช้กลวิธี หรือเทคโนโลยีใหม่ๆที่ไม่เคยมีการใช้มาก่อนเข้ามาสู่ระบบสุขภาพ

P= Productivity หมายถึง “Getting more for less” ได้ผลประโยชน์มากแต่ไม่ต้องจ่ายแพง..

P= Prevention หมายถึง การป้องกันการเกิดโรคในประชากรกลุ่มใหญ่ รวมทั้งสนับสนุนให้ผู้ป่วย long-term condition

สามารถที่จะดูแลตัวเองได้

ซึ่งแนวคิดนี้นำมาสู่การใช้เทคโนโลยีในการช่วยดูแลสุขภาพของคนทั้งระบบ ซึ่งจะมีการเปลี่ยนผ่านจากที่คนไข้

ต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลเป็น hospital base care ไปสู่ระบบ ที่เรียกว่า hospital and community based care

ซึ่ง Telehealth และ Telecare นั้นเป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่จะสนับสนุนการพัฒนาระบบสุขภาพในอังกฤษ เพื่อให้คนไข้

เข้าถึงบริการสุขภาพได้แม้ว่าตัวเองอยู่แต่ในบ้าน สร้างความรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจในบริการ

คำว่า TELE เป็นคำภาษาละติน มีความหมายว่า “at the distance” หรือที่อยู่ห่างไกลกันออกไป..จริงๆแล้ว

ไม่ใช่คำใหม่เพราะเราใช้คำว่า Tele กันมานานแล้ว ยกตัวอย่างเช่น TELEscope(กล้องสองทางไกล),

TELEvision(โทรทัศน์) หรือแม้แต่ TELEphone(โทรศัพท์) เมื่อนำคำว่า TELE เอามาใช้กับระบบสุขภาพ

จีงมี TELE ออกมาอีกมากมาย แต่ก็ยังหมายความถึงการดูแลสุขภาพที่ห่างไกลกันออกไป

ซึ่งจะเฉพาะเจาะลงไปในศัพท์แต่ละคำว่าดูแลในด้านไหนบ้าง

ยกตัวอย่างเช่น

  • Telehealth – การดูแลสุขภาพตนเองเป็น self care management ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์

เช่น วัดความดันเลือดแล้วเครื่องมือจะส่ง ผลการวัดไปยังทีมแพทย์ เพื่อแนะนำการให้ยาหรือการควบคุมอาหาร เป็นต้น

  • Telecare – การดูแลสุขภาพผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องโดยอาศัยเทคโนโลยี ในการควบคุม กำกับ

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมคนไข้ โดยใช้ระบบ real time

  • Telemonitoring – การใช้เทคโนโลยีในการควบคุมการรักษาผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด โดยที่ผู้ป่วย

ไม่ต้องเดินทางมาหาหมอที่โรงพยาบาล

  • mhealth – การใช้มือถือ หรือ mobile divice จำพวก PDA มาช่วยในการติดต่อสื่อสารกันระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย
  • Teletriage – การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพและอาการเจ็บป่วยทางโทรศัพท์ ซึ่งคำว่า “Triage” ในที่นี้หมายถึง sort out
  • Telecoaching – ย่อยลงมาจาก telehealth คือการ train เจ้าหน้าที่ผู้ดูและทางสุขภาพ ผ่านระบบเทคโนโลยีออนไลน์
  • ehealth – การให้ข้อมูลทางสุขภาพผ่านระบบอินเตอร์เน็ต
  • Telemedicine – ใช้เทคโนโลยีการแพทย์ผ่านการสื่อสารทางไกล ระหว่างหมอกับคนไข้โดยตรง
  • Telerehabilitation- เป็นการใช้เทคโนโลยีสื่อสารทางไกลมาช่วยในการฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย เช่นการสอนทำกายภาพบำบัดออนไลน์ หรือผ่านเครื่องมืออุปกรณ์สื่อสารที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ

ซึ่งโดยภาพรวมแล้วการใช้ TELE- อะไรก็ตามที่เป็นเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องนั้นช่วยในการพัฒนาระบบสุขภาพหลักๆ

ได้ 5 ด้านด้วยกัน ก็คือ

  1. Clinical improvement – การรักษาพยาบาลและการเข้าถึงบริการสุขภาพดีขึ้น
  2. Quality of life benefit – คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น เนื่องจากสามารถดูแลตัวเองและรับบริการจากที่บ้าน
  3. Cost saving – ประหยัดค่าใช้จ่าย ในการเดินทาง การรอตรวจ เป็นต้น
  4. Productivity improvement – บุคลากรทางการแพทย์สามารถทำงานดูแลผู้ป่วยได้มากขึ้นในเวลาเท่าเดิม
  5. Environmental benefit – ดีต่อสิ่งแวดล้อม เพราะว่าไม่ต้องใช้การเดินทาง เติมน้ำมัน หรือการขนส่งใดๆ

ถึงแม้ว่าบริการสุขภาพจะพยายามปรับเปลี่ยนให้ก้าวหน้าเข้าถึงได้ดีมากขึ้นแค่ไหน สิ่งสำคัญก็ยังอยู่ที่การดูแลสุขภาพ

ของตัวเองไม่ให้ป่วยในโรคที่เราป้องกันได้จะดีที่สุด..ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อโรคยา ปรมาลาภา”

“การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ” นั่นเอง

ลองดูตัวอย่างเกี่ยวกับ Telehealth ที่คลิปนี้นะจ๊ะ

By lovelybluemoon เขียนใน Health

เมื่อปัญญาแปรรูปเป็นทรัพย์สิน

ทรัพย์สินทางปัญญา..หรือ Intellectual Property เป็นคำที่ใช้กันมานานแล้วในสังคม

ตะวันตก…สำหรับบ้านเราก็ให้ความสำคัญกันมากขึ้น ตั้งแต่มีข่าวคราวเรื่องของการจด

ทะเบียนลิขสิทธิ์ข้าวหอมมะลิ ที่โดนทางหน่วยงานวิจัยพัฒนาพันธุ์ข้าวของอเมริกา

ศึกษาปรับปรุงทางพันธุกรรมภายใต้โครงการวิจัย Stepwise Program for

Improvement of Jasmine Rice for the United States ..ที่วิจัยจนได้พันธุ์ข้าว

ที่ใกล้เคียงกับข้าวหอมมะลิไทยและจะทำการจดทะเบียนเลยเป็นกระแสปลุกให้บ้านเรา

เริ่มตื่นตัวกันมากขึ้น..ก็ข้าวหอมมะลิต้นกำเนิดอยู่บ้านเราแท้ๆ อีกหน่อยถ้าประเทศใหญ่ๆ

อย่างอเมริกาผลิตได้เองแถมจดลิขสิทธิ์เป็นชื่อประเทศเค้าแล้วบ้านเราจะซื้อข้าวกินในราคา

เท่าไหร่?? ไหนจะเรื่องส่งออกอีก..อันนี้หลังจากเป็นกระแสอยู่ช่วงหนึ่งรัฐบาลออกมากระตือ

รือร้นอยู่พักนึงแล้วตอนนี้ก็เงียบหายไป..มีใครรู้บ้างว่าผลเป็นอย่างไร วานบอกกันนะจ๊ะ

แม้แต่กระทั่งรถตุ๊กตุ๊ก บ้านเราที่จัดว่าเป็นแท๊กซี่ยอดนิยมในดวงใจของนักท่องเที่ยว

อันดับที่ 5 ของโลก..ถูกใจฝรั่งจนเค้าเอาไปจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าโดยบริษัท

MMW TUKTUK ประเทศอังกฤษ ที่นำเข้าเครื่องยนต์แล้วไปดัดแปลงประกอบเป็นรถตุ๊กๆ

ขายในราคาประมาณ 4 แสนบาทไทย..ลองเข้าไปดูกันเล่นๆ

ได้ที่เวป http://www.tuk-tuk.co.uk/ ที่น่าปวดใจคือเค้าเอาว่าตุ๊กตุ๊กไปใช้..บ้านเรา

ไหวตัวช้าไปหน่อยเลยจดทะเบียนรถตุ๊กตุ๊กบ้านเราชื่อว่า “รถไทยไชโย” ….

แต่ในทางกลับกัน..บ้านเราก็ใช่ย่อยมีสินค้าแบรนด์เนมที่ก๊อปปี้มาก็เยอะ หรือพวก

เทปผี ซีดีเถื่อนก็ติดอันดับต้นๆของโลกเหมือนกัน..หุหุหุ

ดังนั้นเรื่องของทรัพย์สินทางปัญญาจะว่าใกล้ตัวเราก็ใกล้ตัวนะ เป็นสิ่งที่เรา

เวลาที่มีการประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ก็จะต้องมีการ

จดทะเบียนสิทธิ์บัตรเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนั้นและป้องกันการหา

ประโยชน์เชิงธุรกิจจากคนภายนอก….ซึ่งประเภทของทรัพย์สินทางปัญญานั้น

ก็แบ่งประเภทออกได้เป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ คือ

1.สิทธิบัตร(Patent) เมื่อมีการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์หรือนวัตกรรมใหม่ๆอย่างเช่น รถบินได้

มอเตอร์ไซค์สะเทินน้ำสะเทินบก..หรือยาที่กินแล้วหน้าตาดี วิธีการผลิตใหม่ๆหรือกระบวน

การใหม่ๆที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนบนโลกใบนี้..เราสามารถยื่นขอจดสิทธิบัตรเป็นของเราได้

โดยหากมีใครนำแนวคิดนี้ไปใช้ประโยชน์เชิงธุรกิจเราก็สามารถได้เงินจากธุรกิจนั้นได้ด้วย

แต่ที่สำคัญคือก่อนที่จะจดจะต้องทำการตรวจสอบก่อนว่ามีใครบนโลกใบนี้คิดหรือสร้าง

อะไรขึ้นมาเหมือนกันในเวลาเดียวกับเราหรือเปล่า ซึ่งสิทธบัตรนี้จะไม่เหมารวมแนวคิด

ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ หรือการค้นพบสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติคนแรก..เช่นไอส์สไตน์ ค้นพบ

ทฤษฏีสัมภันธภาพหรือว่า หรือเซอร์ไอแซคนิวตัน ค้นพบหลักของแรงโน้มถ่วง, หรือ

นาย ก. ค้นพบแมลงกุดจี่คนแรกของโลก..ก็ไม่สามารถจดสิทธิบัตรได้ สิทธิบัตรส่วนใหญ่

จะใช้กับเรื่องของสิ่งประดิษฐ์ หรือกรรมวิธีการผลิต เสียมากกว่า

2.เครื่องหมายการค้า(Trademark)..คือ เครื่องหมาย ข้อความหรือสัญลักษณ์ที่แสดง

ถึงสินค้าหรือบริการนั้นๆ ยกตัวอย่างสุดคลาสสิคคือ โคคาโคล่า..ต่อให้เรา

สามารถผลิตเครื่องดื่มสีดำอัดแก้สมีรสหวานได้ใกล้เคียงกับโคคาโคล่า..เราก็ไม่สามารถใช้

ชื่อโคคาโคล่าได้ ต้องจดทะเบียนเป็นชื่ออื่น…ซึ่งเครื่องหมายการค้าก็จะเหมารวมไปถึง

คำ ยี่ห้อ โลโก้ เสียง(เช่นเสียงขึ้นต้นเวลาร้องคาราโอเกะของแกรมมี่) กลิ่น หรือสัมผัส..

ได้หมด แต่ก็มีข้อจำกัดเหมือนกันในเรื่องของการใช้ชื่อ ถ้าสมมติว่าผลิตยามาตัวหนึ่ง แต่

ใช้ชื่อว่า Getwell หรือ Heatlhy ก็ไม่ได้เพราะมันจะทำให้ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ตีเจตนาของ

สินค้าชนิดนั้นผิดไป ทั้งนี้แต่ละประเทศก็มีข้อกำหนดเพิ่มเติมไม่เหมือนกันนะจ๊ะ

3.Design right (สิทธิ์การออกแบบ) อันนี้ไม่รู้แปลภาษาไทยถูกหรือเปล่า..แต่ยกตัวอย่าง

ก็จะเป็นพวก การออกแบบเครื่องประดับ ออกแบบรถยนต์ กระเป๋า เสื้อผ้า ลายผ้า เป็นต้น

สิทธิ์การออกแบบนี้จะมีทั้งแบบจดทะเบียน(มีอายุ 25ปี) แบบไม่จดทะเบียน(10ปี)

และลิขสิทธ์ทางอุตสาหกรรม (ตลอดช่วงอายุของคนออกแบบ+ไปอีก 70 ปี)

แต่โดยปกติแนวคิดหรือไอเดียที่เกิดขึ้นมาเมื่อสร้างหรือผลิตขึ้น

มาแล้วนั้นก็ถือว่าสิทธิ์ไอเดียนั้นเป็นของผู้ออกแบบอยู่แล้ว

4.ลิขสิทธิ์ (Copyright ) นั้นจะรวมไปถึงผลงานต่างๆ เช่น งานเขียน ภาพถ่าย ภาพวาด

เพลง โปรแกรมคอมพิวเตอร์ งานออกแบบอาคารของสถาปนิก เพื่อป้องกันการลอกเลียน

แบบ การหาประโยชน์ทางธุรกิจเช่นกัน.. อันนี้ไม่จำเป็นต้นจดทะเบียนก็ได้เพราะลิขสิทธิ์

จะถือเป็นของบุคคลผู้นั้นตั้งแต่เค้าสร้างมันขึ้นมา..แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากเราไม่ระมัดระวัง

ก็งานของเราก็อาจจะถูกนำไปใช้โดยที่เราไม่ได้ประโยชน์หรืออาจถูกเอาไปแอบอ้างก็ได้

อย่างเช่นงานเขียนที่เขียนตามเวปไซค์ หรือฟอร์เวิร์ดเมลล์ต่างๆ แล้วนำไปแอบอ้างว่า

เป็นงานของตัวเอง หรือภาพถ่ายสวยๆที่เราถ่ายไว้แต่ไม่ได้ใส่เครดิตให้ตัวเอง

ก็อาจจะมีคนเอาภาพที่เราถ่ายไปใช้ประโยชน์ก็ได้..

แต่ยังไงก็ตามอะไรที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ สิ่งมีชีวิต หรือการค้นพบ

ต่างๆ รวมถึงความคิด..ที่แค่คิดแต่ไม่ได้ทำอะไรเลยนั้นเราไม่สามารถถือว่า

เป็นทรัพย์สินทางปัญญาได้นะจ๊ะ

อยากรู้เพิ่มเติมเชิญไปที่

www.ipthailand.go.th

http://en.wikipedia.org/wiki/Intellectual_property

เศรษฐศาสตร์แบบแฮมเบอร์เกอร์ (big mac index)

Big mac เป็นเมนูสุดฮิตในตำนานของ Macdonale ที่จัดว่าเป็นอาหาร Fast food

คุ้มค่าคุ้มราคาของประเทศตะวันตก เจ้าบิ๊คแมคนี้ที่ถือกำเนิดขึ้นมาในปี 1967 โดย

คุณ Jim Delligatti เจ้าของร้านเฟรนส์ไชน์แมคโดนัลแถบๆเพนซิลเวเนีย..

เมนูที่มีเนื้อสองชิ้น,ซอส,กะหล่ำ,ชีส,หอมหัวใหญ่ โปะด้วยขนมปังก้อนกลมๆโรยงา

มีวางขายอยู่ทั่วโลกกว่า 120 ประเทศ แต่ละประเทศก็มีการปรับเปลี่ยนสูตรให้เหมาะกับ

การตลาดในประเทศนั้น อย่างเช่นบิ๊คแมคที่ขายที่อินเดียจะใช้เนื้อไก่แทนเนื้อวัว มีชื่อเรียก

ว่า “Maharaja Mac” ส่วนเนื้อที่ใช้ทำบิ๊คแมคในประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามนั้นจะใช้

เนื้อ “Halal” หรือ “Kosher” ด้วยความที่ว่าเจ้าบิ๊คแมคเนี่ยมีขายไปทั่วโลก

คุณ Mark Cwzierdzinski นักเศรษฐศาสตร์ เลยเสนอไอเดียนี้ขึ้นมาว่ามันน่าจะใช้เป็น

หน่วยมาตรฐานในการเปรียบเทียบราคาตลาดระหว่างประเทศที่มีค่าเงินที่แตกต่างกัน

ภายในแนวคิดเรื่อง PPP (purchasing power parity) ที่เป็นดัชนีที่ทางธนาคารโลก

ใช้ในการเปรียบเทียบเศรษฐกิจระหว่างประเทศ แต่เจ้าบิ๊คแมคถูกยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างเพื่อ

ให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่นปี 2008 บิ๊คแมคที่อเมริกาขายอยู่ในราคา 3.57 ดอลล่าร์

แต่ที่อังกฤษขายอยู่ที่ราคา 2.29ปอนด์ ดังนั้นอัตราส่วนราคาที่ต่างกันต่อบิ๊คแมค

1 ชิ้น จะเท่ากับ 3.35/2.29 ปอนด์ คือ 1.56 ถ้าสมมุติว่าณเวลานั้น เงิน 1 ปอนด์ มีค่าเท่ากับ

2 ดอลล่าร์

ดังนั้น [(2.00-1.56)/1.56]*100= +28%

ก็จะแปลว่าค่าเงินปอนด์ของอังกฤษนั้นมีค่ามากกว่าเงินดอลล่าร์อยู่ 28%

ในรูปนี้เป็นการคำนวณโดยนักเศรษฐศาสตร์เมื่อเทียบ Big mac indexกับ

ค่าเงินดอลล่าร์ของประเทศอเมริกา ถ้ากราฟไปทางขวา + ก็แปลว่าค่าเงิน

ของประเทศนั้นมีค่ามากกว่าเงินดอลล่าร์อเมริกา แต่ถ้ากราฟไปทางซ้าย – ก็แปล

ในทางตรงข้ามคือค่าเงินของประเทศนั้นๆมีค่าน้อยกว่าเงินดอลล่าร์..

นอกจากบิ๊คแมคใช้เป็นตัวเปรียบเทียบยอดนิยมจนเกิดเป็นคำศัพท์ทางเศรษฐศาสตร์

ว่า Burgernomics แล้วเหล่าบรรดานักเศรษฐศาสตร์ช่างคิดก็ยังนำแนวคิดนี้

ไปใช้กับสินค้าอื่นๆที่มีขายอยู่ทั่วโลกเหมือนกัน อย่างเช่น กาแฟสตาร์บัค หรือ ไอพอด..

แต่ก็ยังมีข้อโต้แย้งอยู่เหมือนกันว่าเจ้าบิ๊คแมคเป็นตัวเปรียบเทียบที่ดีพอหรือเปล่า

เพราะหากมองในเชิงสังคม บิ๊คแมคอาจจะเป็นอาหารพื้นๆสำหรับชาวตะวันตก แต่สำหรับ

ประเทศกำลังพัฒนาหรือประเทศโลกที่สามเจ้าบิ๊คแมคก็ถือเป็นอาหารมื้อหรูๆเลยก็ว่าได้..

อยากรู้เพิ่มเติมเชิญอ่านต่อตาม link เอาเองนะจ๊ะ

http://en.wikipedia.org/wiki/Big_Mac_Index

http://en.wikipedia.org/wiki/Purchasing_power_parity

ลองคำนวณ big mac index ดูเล่นๆ

http://www.thebigmacindex.com/

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย..ร้านแมคโดนัลที่มีคนใช้บริการเยอะที่สุดในโลกตั้งอยู่ที่

Pushkin Square, Moscow มีที่นั่งสำหรับลูกค้า 700 ที่ เครื่องแคชเชียร์ 27 เครื่อง

และเปิดให้บริการลูกค้า 40,000 คนต่อวัน..

เสน่ห์ปลายจวัก..อาหารไทยรสจัดจ้าน

เสน่ห์ปลายจวัก หมายถึงเสน่ห์ที่เกิดจากฝีมือปรุงอาหารเลิศรส..เหมาะสมแล้วกับชื่อร้านอาหารไทยร้านนี้

ร้านนี้ตั้งอยู่ที่แถวๆที่ทำงานเรานี่เอง จากแยกแครายขับตรงมาทางสะพานพระรามห้า ข้ามสะพานพระรามห้า

ไปสักพักจะเห็นร้านเสน่ห์ปลายจวักอยู่ทางด้านขวามือ ใกล้ๆกับร้านครัวเสวย..ร้านนี้เคยออกรายการทีวี

มาหลายรายการแล้วเหมือนกันนะ ขวัญเล่าให้ฟังเริ่มจากคุณเพื่อนสาวดูทีวีรายการตลาดสดสนามเป้า

หรือรายการอะไรสักอย่างเนี่ยแหล่ะ แล้วเกิดอยากทานไข่เจียวซาลาเปาขึ้นมา ก็มาเล่าๆให้ฟัง

พอคุณเพื่อนมาเล่าปุ๊บเราก็ไม่รอช้า ลอง search หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตทันทีว่าร้านนี้ตั้งอยู่ที่ไหนอย่างไร

มีเมนูเด็ดอะไรบ้าง ก็ตั้งใจว่าจะไปชิมให้ได้สักครั้ง จนแล้วจนรอดทั้งๆที่อยู่ใกล้ที่ทำงานแต่ก็ไม่มีโอกาสได้

ไปชิมซะที จนกระทั่งเราจะเดินทางมาเรียนต่อเนื่ยแหล่ะ เลยถือโอกาสไปชิมกันและเลี้ยงส่งเราเลยซะทีเดียว

แต่กว่าจะมีเวลามานั่งเขียนรีวิว ก็โบยบินมาอยู่ไกลซะแล้ว เขียนแล้วก็คิดถึงรสชาติอาหารอยากกลับไปทานอีกจริงๆ อิอิ

เจ้าของร้านนี้เป็นคนทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี..วันที่เราไปไม่ได้เจอกับเจ้าของร้านแต่ว่าผู้จัดการร้านนี้

อัธยาศัยดีมากแนะนำเมนูอาหารต่างๆ ให้เราได้ลองชิมกัน..บรรยากาศในร้านตกแต่งแนวบ้านสวน

โต๊ะไม้ ไม้ไผ่ รมรื่นดีทีเดียว..แต่ที่เราชอบเป็นพิเศษคือคำคม และคติเตือนใจ บทกวีต่างๆ

ที่เจ้าของร้านลงมือเขียนด้วยลายมือตัวเอง ติดอยู่ตามมุมต่างๆของร้าน เราเลยถ่ายรูปเก็บเอาไว้มาอ่านด้วย

แต่เลือกที่ชอบเป็นพิเศษมาลงให้อ่านกันเล่น..ยังมีอีกทั้งเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา,

พระราชดำรัสของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช..และอื่นๆอีกมากมาย..

หลังจากชมบรรยากาศของร้าน..เดินอ่านป้ายคำคมต่างๆในร้านซะเพลินก็เริ่มจะหิวกันแล้ว

ผู้จัดการร้านแนะนำเครื่องดื่มสูตรพิเศษของร้าน คือ น้ำฝาง.. ซึ่งฝางนั้นเป็นสมุนไพรไทย

ที่มีคุณสมบัติเป็นธาตุเย็น มีสรรพคุณช่วยในการแก้ร้อนในกระหายน้ำและบำรุงเลือด..

หากอยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับฝาง คลิ๊กไปอ่านต่อที่นี่นะจ๊ะ น้ำฝางร้านนี้รสชาติพิเศษจริงๆ

ไม่เหมือนน้ำฝางทั่วไปที่เค้าต้มขาย เพราะเค้ามีสูตรพิเศษ ใส่น้ำผึ้ง มะนาว เพิ่มรสชาติให้อร่อยยิ่งขึ้น

ดื่มแล้วสดชื่นมากๆเลยหล่ะ

ส่วนเมนูที่ร้านก็เป็นเอกลักษณ์มากเพราะเขียนด้วยลายมือของเจ้าของร้านอีกเช่นกัน

แถมเมนูอาหารเยอะมากจนตาลายสั่งแทบไม่ถูกเพราะดูน่าอร่อยไปหมดเลย

ที่สำคัญเจ้าของร้านยังเขียนประมาณว่า ถ้าสั่งอะไรก็ห้ามเพิ่มหรือลดสูตรของเค้า (เช่นไม่ใส่ผัก ไม่ใส่กระเทียม)

อะไรทำนองนี้ เค้าจะทำตามสูตรของเค้าเอง ห้ามกำชับว่าเพิ่มหรือลดอะไร หากไม่พอใจก็ให้ไปทานร้านอื่น อิอิ

สรุปง่ายๆว่า ถ้าลูกค้าจะเรื่องมาก ก็เชิญไปทานที่ร้านอื่นเถอะเพราะเค้าไม่ง้อลูกค้าหรอก ฮ่าๆๆๆ

ส่วนเราสั่งอะไรมาทานกันบ้าง มาดูกันดีกว่า..^^

เมนูแรก..ตามใจขวัญใจผู้แนะนำ..อิอิ ไข่เจียวซาลาเปา..ซาลาเปาจริงๆ ไข่เจียวหนานุ่มมากๆแล้วก็ไม่อมน้ำมัน

ข้างในมีผักหวานด้วย..ทานไปก็ยังนึกไม่ออกว่าเค้าทอดไข่เจียวได้ยังไงถึงกลมๆหนาๆขนาดนี้..

มีไข่เจียวแล้วก็ต้องทานคู่กับแกงส้มปลากระพงยอดมะพร้าวอ่อน..น้ำแกงส้มรสชาติจัดจ้าย

เปรี้ยว เค็ม เผ็ด กำลังดี ผักกระเฉดและยอดมะพร้าวอ่อนก็กรุบกรอบอร่อยมาก

ส่วนข้าวสวยร้านนี้เป็นข้าวหอมมะลิ หนักท้อง ทีแรกสั่งมาแค่โถเดียว แต่กับข้าวรสจัด

ข้าวโถเดียวไม่พอจริงๆ ที่ชอบอีกอย่างคือข้าวร้านนี้โรยงากับข้าวโพดด้วยนะ ^^

ส่วนอีกเมนูที่เราติดใจก็คือยำถั่วพลู ร้านนี้มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนร้านอื่นเพราะยำถั่วพลูของเค้า

ไม่ได้ใส่กระทิเลยแม้แต่น้อย แถมถั่วพลูยังหั่นฝอย บางๆ และกรอบมาก คลุกเคล้ากับน้ำยำ

รสชาติเข้มข้ม โรยด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์กับกุ้งแห้งทอดกรอบ ติดใจอีกเหมือนกัน

ส่วนเมนูของทอดเราสั่ง ปลากระพงทอดขมิ้น..ดูจากในรูปเหมือนตัวไม่ใหญ่นะ

แต่ความจริงตัวใหญ่มากเต็มจานเลย กลัวเก็บภาพมาได้ไม่เต็มตัวก็เลยต้องถอยออกมาหน่อย

ปลากระพงทอดขมิ้นตัวนี้ จากที่ชิมรสชาติคล้ายๆปลาทอดขมิ้นของทางภาคใต้คือใช้

กระเทียม ขมิ้น และเกลือ ตำให้เข้ากันแล้วคลุกให้ทั่วตัวปลาก่อนจะนำไปทอดในน้ำมันร้อนๆ

ที่แตกต่างจากปลาคลุกขมิ้นของทางใต้ก็คือว่าเค้าไม่ได้ใส่พริกไทยดำลงไปด้วย แค่เครื่องกระเทียม

ขมิ้นที่คลุกทอดร้อนๆ เอามาคลุกกับข้าวสวยทานก็อร่อยอย่าบอกใครแล้ว

ส่วนของทอดอีกเมนูนึงคือไก่ทอดเกลือ..เมนูนี้รสชาติมาตรฐานใกล้เคียงกับร้านอื่นๆ

ส่วนเมนูสุดท้ายที่แนะนำก็คือ ตังเกผัดฉ่า(ทะเล) ถ้าจำชื่อไม่ผิดนะคะ

เมนูนี้ยกทะเลมาเต็มจานเลย มีทั้งกรรเชียงปู กุ้ง หอย ปลา ชิ้นโตๆเต็มปากเต็มคำ

ส่วนผัดฉ่าก็รสจัดมากมีพริกไทยอ่อนเพิ่มความเผ็ดร้อนของอาหาร

แถบจะขอเติมข้าวกันไม่ทัน อิอิ ผู้จัดการบอกว่าของทะเลที่ร้านนี้สั่งมาจากมหาชัยทั้งหมด

ซึ่งเราสัมผัสได้ถึงความสดของอาหารทะเล เพราะรสชาติของกุ้ง หอย ปู ปลาในจานนี้

ยังคงมีความสดหวานของทะเลและไม่คาวเลยแม้แต่น้อย..ประทับใจสุดๆ

แต่ว่าก็อิ่มจนเกินกว่าจะสั่งของหวานมาทานไหว..เลยขอจบรีวิวไว้เพียงเท่านี้

ยังมีอีกหลายเมนูที่น่าลองมาก ขนาดตอนที่กำลังเขียนถึงอยู่ท้องยังร้องเลย

คิดถึงอาหารไทยรสจัดที่บ้านเราจริงๆ.. ไว้กลับไปเมื่อไหร่จะไปทานที่ร้านนี้อีกแน่นอนค่ะ

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมของร้านนี้ดูได้ตาม link นะคะ

http://www.edtguide.com/SanaePlaiJawak_11021

http://www.naachim.com/index.aspx?ContentID=ContentID-070908161208670

ปล. ขอบคุณผู้ร่วมชิม..ขวัญ หนูแหม่ม โบว์ พี่จิ๋ว ปั๊กเป้า พี่ไฝ..โอกาสหน้าไปทานด้วยกันอีกนะ ^^

ร้าน Farang Lek อาหาร Italian fusion style…

ไม่ได้เขียนรีวิวร้านซะนาน..แถมไม่ได้ up blog นานแล้วด้วยนะเนี่ย วันนี้มีร้านอาหาร

อิตาเลี่ยนอร่อยๆ ราคาไม่แพงมากฝากค่ะ .. ร้านนี้ชื่อว่าร้าน Farang lek

ตั้งอยู่แถวๆ หลังม.ธุรกิจบัณฑิต ติดกับหมู่บ้านลดาวัลย์ สามารถเข้าได้สองทาง

คือทางซอยชินเขต (ถนนงามวงศ์วาน)หรือเข้ามาทางซอยข้่าง ม. ธุรกิจบัณฑิต (ถนนเลียบคลองประปา) ก็ได้

แต่ถ้าคนหลงทิศง่ายๆ (แบบเรา^^) แนะนำให้เข้าซอยข้าง ม. ธุรกิจบัณฑิตดีกว่าค่ะ ถ้ามาจากถนนเลียบคลองประปา

พอถึงซอยข้าง ม. ฝั่งตรงข้ามซอยจะเป็นปั้มปตท.. เลี้ยวเข้าซอยมาแล้วเจอสี่แยกแรกเลี้ยวขวา

ตรงเข้ามาตามทางเรื่อยๆ ประมาณ 200 เมตร จะเจอบังคับเลี้ยวซ้าย ร้านจะอยู่ติดหมู่บ้านลดาวัลย์เลยค่ะ

ตอนแรกก็กลัวจะหลงๆเหมือนกัน เพราะตัวเองชอบหลงทิศประจำ แต่โทรสอบถามทาง

กับทางร้านแล้ว..ร้านหาไม่ยากอย่างที่คิดค่ะ..ส่วนที่จอดรถก็จอดเอาตรงข้างๆร้านได้

เป็นร้านเล็กๆ แต่ตกแต่งหน้าร้านได้สวยดีเหมือนกันนะคะ

ชอบมุมนี้ของร้านเหมือนกันค่ะ สวยดี..

เข้าไปในร้านกันดีกว่าค่ะ

บรรยากาศในร้านตกแต่งสวย ดูสบายๆตาดีค่ะ จัดวางโต๊ะได้ลงตัวดี

บนโต๊ะมีซอสเคียง และพริกดองในน้ำมันมะกอกด้วย …

ประเดิมเมนูแรกด้วย สลัดยำแซลมอน..ผักสลัดสดๆ คลุกเคล้าน้ำสลัดผสมน้ำยำ

รสชาติเปรี้ยวๆ เผ็ดนิดๆ และมีแซลมอนชิ้นโตๆ วางอยู่ด้านบน

ดูอีกซักมุมนึง เมนูนี้เหมาะสำหรับสาวๆที่กลัวอ้วนนะคะ

เพราะ high protein และ fiber ด้วย…แต่ไหนๆมาทั้งที เราก็ต้องชิมเมนูแบบชีสๆครีมๆกันบ้างเน๊อะ..

คราวนี้มากันแต่สาวๆ รู้สึกว่าจะสั่งกันแต่เมนูแซลมอนทั้งนั้นเลยค่ะลองมาดูจานต่อไปดีกว่า

เมนูพาสต้าที่นี่ให้เราเลือกเส้นได้ว่าเราอยากทานเส้น Spaghetti Penna หรือ Fettuccine

มีให้เลือกหลากหลายมากๆ ว่าจะทานพาสต้าคู่กับอะไร.. เช่น หอยลายสด+พริกกระเทียมน้ำมันมะกอก+เบซิล

, เนื้อปูผัดในซอสมะเขือเทศและครีมซอส, ทูน่า เห็ด เบซิล น้ำมันมะกอก, ซอสเนื้อบดพาเมซานชีส,ซีฟู้ด,

ปลาแองโชวี่ หรือเบคอนกรอบ.. ฯลฯ และยังมีลาซานญ่าด้วย คือ ลาซานญ่าเนื้อบด กับ ลาซานญ่าผักขมค่ะ

ส่วนที่เห็นในจานนี้ก็คือ  Fettuccine กับแซลมอนรมควันและวอดก้าครีมซอสค่ะ  (จานนี้เค้ากินเองแหล่ะ อิอิ)

แซลมอนรมควันสุกกำลังดี..ทานกับพาสต้าครีมซอส มีความเค็มของชีสนิดๆ

แต่ก็ไม่เลี่ยนจนเกินไป บอกได้คำเดียวว่าอร่อย..

ส่วนจานนี้ก็คือผักขมอบชีสค่ะ อร่อยดี แต่เราว่าชีสน้อยไปนิดนึง..

ส่วนเมนูสเต็กก็มีเหมือนกันนะคะ..เมนูแนะนำมีหลายเมนูเหมือนกันสำหรับเสต็ก

มีเสต็กไก่กับซอสองุ่นไวน์แดงมันบด, เสต็กหมูกับซอสแอปเปิ้ลมันบด,

เสต็กปลากระพงขาวกับซอสไอโอลีมันบด ส่วนเมนูในภาพก็คือ เสต็กปลาแซลมอนกับซอสเวอดี้เซลซ่ามันบดค่ะ

แซลมอนเสต็กจากนนี้จัดวางได้สวยงามน่าทานๆมากๆ สีสันสวย

แล้วก็มันบดนั้นจะอยู่ข้างใต้ค่ะ จานนี้ไม่ได้ชิมเอง แต่พี่ที่สั่งบอกว่าอร่อยใช้ได้เลยทีเดียว..

ส่วนเมนูสุดท้าย เนื่องจากสองสาวที่ไปด้วยกันอยากลองชิมเมนูพาสต้าดูบ้าง

เลยลองสั่งสปาเก็ดตี้คาโบนาร่ากับเบคอนกรอบ..มาทานค่ะ..แอบชิมไปก็อร่อยอีกเหมือนกัน

เห็นหน้าตาอาหาร + เมนู ใครที่เข้ามาอ่านอาจจะคิดว่าแพงๆแน่ๆหล่ะสิ

แต่จริงๆแล้ว เมนูแซลมอนจากละเพียง 95 บาทเท่านั้นเองนะคะ แถมรสชาติอร่อยด้วย

สรุปว่ามื้อนี้ไปกันสามคน ค่าอาหาร รวม เครื่องดื่มรวมๆแล้ว ห้าร้อยบาทนิดๆ หารกัน ตกคนละ 100 กว่าบาทเท่านั้นเอง..

อร่อยแล้วก็ไม่แพงอย่างที่คิดนะจ๊ะ.. ร้านนี้ใครสนใจก็ลองไปชิมดูนะคะ เจ้าของร้านเป็นกันเองดี

เดินมาทักทายแขกของร้านทุกโต๊ะเลย.. ร้านเปิดตั้งแต่ 10.00 ถึง 23.00 น. จ๊ะ

วันนี้ขอเขียนแค่นี้ก่อนดีกว่า นานๆ up blog ทีเขียนยาวเลย ฮ่าๆ .. ไว้ว่างๆจะพยายามเขียนอีกนะคะ

ใครเข้ามาอ่าน อย่าลืมฝากคอมเม้นต์ไว้ด้วยนะคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ.. ^^