Professor Till Roenneberg เป็นผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับนาฬิกาชีวิตของมนุษย์ ได้กล่าวว่า มนุษย์เรามีนาฬิกาอยู่สองอย่างคือ นาฬิกาชีวิตที่ควบคุมตามกลไกของร่างมนุษย์ที่สมองเป็นผู้สั่งการ (body clock) ทำให้เรานอนหลับและตื่นนอนตามการได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ และ นาฬิกาที่บอกเวลาตามเข็มนาฬิกาที่มนุษย์สร้างขึ้น (social clock) ซึ่งนาฬิกาชนิดนี้ทำให้คนเราปฏิบัติหน้าที่ตามเวลาหน้าที่และความรับผิดชอบต่อสังคม และบ่อยครั้งมันก็ฝืนธรรมชาติของ body clock ทำให้เราเกิดภาวะ “Social jet lag” หากแสงจากดวงอาทิตย์เป็นปัจจัยที่กำหนด body clock แต่ในปัจจุบันนี้เราใช้ชีวิตอยู่ในร่มมากกว่ากลางแจ้ง เราทำงานอยู่ในสำนักงานที่มีแสงสว่างจากหลอดไฟ และในตอนกลางคืนเราสามารถนั่งทำงานอยู่จนดึกเพราะได้รับแสงสว่างากหลอดไฟเช่นเดียวกัน เราสามารถอยู่ได้ดึกขึ้น เพราะปริมาณแสงที่รับตอนกลางวันกับตอนกลางคืนแทบจะไม่มีความแตกต่างกัน
พอเราเริ่มมีอาการของ social jet lag เพราะเราใช้ชีวิตฝืนจากธรรมชาติร่างกาย มนุษย์เราก็มีตัวช่วยขึ้นมา เช่น คาเฟอีน, บุหรี่, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ ฮอร์โมนในร่างกายก็ไม่สมดุล ทำให้มีอารมณ์แปรปรวนได้ง่าย และยังอ้วนง่ายอีกด้วย
วิถีชีวิตในปัจจุบันทำให้หลายคนเปลี่ยนตัวเองเป็นนกฮูก เรานอนดึกกันมากขึ้นและตื่นสาย (จริงทีเดียว U.U) ทำให้นาฬิกาของร่างกายเราปรับตัวเพื่อให้ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ body clock จะบอกเราว่า ถ้านอนดึกก็จะต้องตื่นสายนะจะได้พักผ่อนเพียงพอ ในขณะที่นาฬิกาทางสังคม Social clock นั้นต้องการให้เราตื่นก่อน 6 โมงเช้า ซึ่งนั่นเท่ากับว่าหากเรานอนดึกและตื่นในเวลาเช้าตรู่เพื่อไปทำงานเรานอนหลับไปแค่ครึ่งนึงของเวลาที่นาฬิกาทางชีวภาพต้องการ เราจะมีอาการคล้ายๆกับคนที่เดินทางไปยังโซนเวลาที่แตกต่างกัน หรือเรียกว่า Jet lag นี่เอง..คือ ง่วงในเวลาที่ควรจะตื่น และตื่นในเวลาที่ควรจะนอน เวลาที่ควรจะกินอาหารร่างกายกลับบอกว่าไม่หิว เป็นต้น..
มีการศึกษามากมายบอกว่าในวัยผู้ใหญ่ควรนอนหลับพักผ่อน 7-8 ชั่วโมง แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจขึ้นอยู่กับธรรมชาติของแต่บุคคล แต่ที่แน่ๆการนอนหลับอย่างเพียงพอนั้นทำให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยความเห็นส่วนตัวหากจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราควรปรับ body clock ของเราให้สอดคล้องกับ social clock แต่ขณะนี้บางประเทศอย่างเช่นเดนมาร์กบางโรงเรียนได้มีการทดลองปรับเวลาให้นักเรียนสามารถเลือกเวลาเข้าเรียนได้เองให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตของนักเรียน เนื่องจากเขาพบว่านักเรียนส่วนใหญ่นอนดึกพอตื่นมาเรียนในคาบเช้าก็ง่วงนอนและไม่ตั้งใจเรียน จึงเลือกที่จะปรับ social clock ให้เข้ากับ body clock แทน..แบบไหนจะดีกว่ากัน?